สภาเกษตรกรแห่งชาติแถลงผลงานในรอบ 6 เดือน ภายใต้นโยบาย ”3 เปลี่ยน 3 สร้าง 3 ปรับ”
นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ (สกช.) กล่าวแถลงถึงผลการดำเนินงานสภาเกษตรกรแห่งชาติในรอบ 6 เดือน ณ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ชั้น 1 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และผ่านระบบ facebook live ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ดำเนินนโยบาย ”3 เปลี่ยน 3 สร้าง 3 ปรับ” โดย
- นโยบาย “3 เปลี่ยน” ได้แก่
1) เปลี่ยนสภาของเกษตรกร โดยเกษตรกรเพื่อเกษตรกร อย่างแท้จริง ทั้งหลักคิด หลักการและหลักปฏิบัติ
2) เปลี่ยนข้อบังคับและระเบียบที่เป็นอุปสรรค ให้สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ.2553 และ
3) เปลี่ยนรูปแบบและวิธีดำเนินงานของสภาเกษตรกร ให้เร็วรุก สนุกกับงาน คนสำราญ งานสำเร็จ โดยวิธีร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ ร่วมรับประโยชน์
- นโยบาย “3 สร้าง” ได้แก่
1) สร้างทีมงานบริหาร ทีมงานขับเคลื่อนงาน พัฒนาบุคลากรสู่ความเป็นมืออาชีพ และเข้มแข็งอย่างเร่งด่วน
2) สร้างเครือข่ายเกษตรกรให้เข้มแข็งเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนทุกระดับ ทุกมิติ ให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพและบูรณาการ และ
3) สร้างต้นทุนองค์กรให้เป็นที่เชื่อถือและยอมรับของมวลชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกับรัฐบาล
- นโยบาย “3 ปรับ” ได้แก่
1) ปรับรูปแบบและโครงสร้างคณะกรรมการใหม่ ให้มีบทบาทที่ชัดเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานของภาคการเกษตร เพื่อการทำหน้าที่บูรณาการการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร ปรับลดจาก 15 คณะ เหลือ 6 คณะ
2) ปรับรูปแบบและปรับแนวคิด ทัศนคติ ของสมาชิกและบุคลากรให้เป็นหนึ่งเดียว รู้รักสามัคคี
3) ปรับรูปแบบและโครงสร้างสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
*ด้านผลการดำเนินงานตามภารกิจสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้แก่
1. การประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยได้ดำเนินการจัดประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติไปแล้ว 4 ครั้ง มีการนำเสนอและหารือเกี่ยวกับปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการของเกษตรกร และผ่านการพิจารณาของสภาเกษตรกรแห่งชาติ จำนวน 17 เรื่อง และข้อเสนอเชิงนโยบาย
จำนวน 6 เรื่อง ประกอบด้วย
1) ข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาปศุสัตว์สู่ความยั่งยืน
2) ข้อเสนอเชิงนโยบายแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืน ของสภาเกษตรกรจังหวัดกลุ่มภาคกลาง
3) ข้อเสนอการจัดตั้งกองทุนชาวสวนทุเรียน และการผลักดันร่างพระราชบัญญัติกองทุนทุเรียนไทย
4) ข้อเสนอเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาเกษตรกรไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
5) ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการทำประมงพื้นบ้านและ
6) ข้อเสนอเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาราคาปลากระพงตกต่ำ
2. การจัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมและการสร้างเครือข่ายเกษตรกรประกอบด้วย
1) จัดทำแผนแม่บทเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมฉบับที่ 2 โดยมุ่งเน้น 1 หลัก - 3 ทาง - 3 พัฒนา - 11 แนวทาง
2) สร้างเครือข่ายเกษตรกร 75036 หมู่บ้าน เพื่อเป็นกลไกในการรับฟังความคิดเห็น สะท้อนปัญหา เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาการเกษตร ให้เป็นรูปธรรมและนำความสุขมาสู่เกษตรกร
3. การบูรณาการกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน เช่น
1) การแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
2) การแก้ไขปัญหาปลาหมอสีคางดำพื้นที่ต่างๆ ทั้ง 77 จังหวัด
3) การแก้ไขปัญหาราคาปลากะพงตกต่ำ
4) การแก้ไขปัญหาการทับซ้อนพื้นที่ป่าไม้กับพื้นที่ ส.ป.ก.จังหวัดสระบุรี
5) การแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายที่มีผลกระทบต่อการเกษตรกรรม
6) การแก้ไขปัญหาโรคใบด่างในมันสำปะหลัง
4. การดำเนินงานกิจกรรมสาธารณะ และการช่วยเหลือด้านต่างๆแก่สังคมและเกษตรกรที่ประสบกับปัญหาจากภัยธรรมชาติ ได้แก่
1) โครงการจิตอาสาพัฒนาสาธารณประโยชน์ ”เราทำความดีด้วยหัวใจ” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาสภาเกษตรกรแห่งชาติ ครบรอบ 13 ปี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
2) พิธีรวมใจถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดทั่วประเทศ
3) การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยมอบข้าวสารให้จังหวัดละ 550 กระสอบ และถุงยังชีพ 120 ชุด
4) การช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในภาคอีสาน (จังหวัดร้อยเอ็ด ยโสธร) โดยร่วมกับชุมนุมสหกรณ์โคนมแห่งประเทศไทย จำกัด และชมรมรถบรรทุกฟางก้อน สนับสนุนฟางอัดก้อน จำนวน 6000 ก้อน และน้ำดื่ม 10000 ขวด
”สภาเกษตรกรแห่งชาติหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภารกิจ และการดำเนินงานด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของเกษตรกร สภาเกษตรกรแห่งชาติ และความร่วมมือของทุกภาคส่วน จะทำให้ภาคเกษตรกรรมไทยเติบโต ก้าวหน้า ผลิตอาหารปลอดภัยสู่บริโภคทั้งภายในประเทศและส่งออกให้กับคนทั่วโลกได้มากขึ้น ถือเป็นก้าวย่างแห่งความมั่นคงทางอาหารสู่ความมั่งคั่งของเกษตรกรไทยต่อไปในอนาคต” ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวปิดท้าย
*********