นักวิชาการ มก. เสนอแนะเชิงนโยบายด้านการคลัง เศรษฐกิจการเกษตร สิ่งแวดล้อม เพื่อการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยอย่างมีประสิทธิผล

   เมื่อ : 04 ต.ค. 2566

วันที่ 2 ตุลาคม 2566 ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักเพื่อเสริมสร้างงานวิจัยและงานบริการวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ตอบสนองและรับผิดชอบต่อสังคม โดยจัดการสัมมนา เสวนา และฝึกอบรมแก่บุคลากร ตลอดจนองค์กรต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยในปีงบประมาณ 2567 ร่วมกับสมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมศิษย์เก่าเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ จัดเสวนาในหัวข้อ “เปลี่ยนผ่านประเทศไทย: การเปลี่ยนไปที่ต้องไม่เหมือนเดิม ณ ห้อง 5205 อาคารปฏิบัติการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มสมบุญชัย คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ นิสิต บุคลากร และผู้สนใจเข้าร่วมฟังการเสวนา ทั้งนี้ เพื่อร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิดเชิงนโยบายระหว่างผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ ในประเด็นที่เกี่ยวกับแนวนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม วิทยากรได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ ด้านนโยบายการคลัง รองศาสตราจารย์ ดร.อิสริยา บุญญะศิริ ด้านนโยบายเศรษฐกิจการเกษตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ อรรถวานิช ด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม ดำเนินรายการโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภสม สินเพิ่มสุขสกุล สรุปการเสวนาดังนี้

นโยบายด้านการคลัง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวต่ำกว่า 5% มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับการขยายตัวที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศ  ในขณะที่สัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นถึงระดับ 20% ควรมีการปรับปรุงและแก้ไขโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจให้สามารถกลับมาแข่งขันได้ ความท้าทาย 4 ด้านได้แก่

1) การขยายตัวของระดับหนี้ครัวเรือนเกิน 90% ของ GDP ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ภาระการผ่อนจ่ายดอกเบี้ยในสถานการณ์ดอกเบี้ยสูงเริ่มจะประสบปัญหา 

2) ความเสี่ยงทางด้านการลงทุน จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จาก 70-75% มาอยู่แค่เพียงที่ 60-65% อัตราการผลิตที่ลดลง ทำให้ยากที่จะถึงจุดคุ้มค่าการลงทุน ทำให้ธุรกิจชะลอการลงทุนใหม่ๆ 

3) ความเสี่ยงของการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก จากค่าแรงในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่สูงขึ้นรวดเร็วในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาเร็วเกินกว่าการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพของแรงงานทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง บริษัทข้ามชาติเลือกลดหรือย้ายการลงทุนไปยังประเทศที่มีแรงงานถูกกว่า โดยในกลุ่มสินค้าส่งออกพบว่ามีสัดส่วนของสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงลดลง  โดยระหว่างปี 2003-2008 กับ 2014-2019 จะพบว่ากลุ่มสินค้าส่งออกที่เคยมีความซับซ้อนสูงหายไป เช่น คอมพิวเตอร์ถูกทดแทนด้วย วัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้ในสำนักงานแทน  

4) ความเสี่ยงของภาครัฐ จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หนี้สาธารณะ ถีบตัวสูงขึ้นไปเกินระดับ 60% ของ GDP หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาระในใช้เงินภาษีในอนาคตมาจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการคลังในอนาคต  

 

จากวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในกรอบเวลาระยะสั้นเรื่องความจำเป็นที่จะกระตุ้นการใช้จ่าย ในส่วนนโยบายระยะสั้นที่จะกระตุ้นรายจ่ายโดยโยบาย Digital Wallet 10000 บาท ซึ่งจะใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและกระจายไปยังทุกพื้นที่ให้มุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ถึงฐานรากโดยรัฐบาลได้รับผลตอบแทนคืนมาในรูปแบบของภาษี และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิตอลของประเทศ 

 

ซึ่งจากผลการศึกษาของการสนับสนุนเงินโอนของรัฐให้ประชาชนในอดีตพบว่ามีค่าไม่สูงมากนัก อยู่ระหว่าง 0.4-0.9 เท่า โดยมีเพียงเงินโอนที่ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีตัวคูณทวีสูงถึง 1.4 เท่า และจากการประเมินพบว่าต้นทุนของมาตรการดังกล่าวอาจสูงถึง 560000 ล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลใช้การกู้ยืมเงินทั้งจำนวนจะคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.2% ของ GDP ปี 2565 เพิ่มเติมระดับหนี้สาธารณะของประเทศขึ้นไปอีก ตัวเลขดังกล่าวคิดเป็น 22.9% ของเงินกองทุนประกันสังคมที่ 2.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ 2.75% รัฐบาลจะมีต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มอีกปีละ 15400 ล้านบาท ไม่รวมค่าเสียโอกาสจากการใช้เงินลงทุนดังกล่าวสร้างสาธารณูปโภคอื่นๆที่จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวได้ นับว่าเป็นต้นทุนที่สูงมากๆสำหรับนโยบายระยะสั้น จากประเด็นดังกล่าวมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังนี้

 

  1. ควรมีการจำกัดมาตรการกระตุ้นรายจ่าย 10000 บาทให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อย (ตัวคูณทวี 1.4x) และการดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลด้วยการใช้ Digital Wallet อาจใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วเช่น Prompt Pay / เป๋าตัง Wallet เป็นต้น 
  2. ในระยะยาว ภาครัฐควรลดการใช้มาตรการกระตุ้นรายจ่ายในลักษณะเงินโอนแบบไม่เฉพาะเจาะจง (ตัวคูณทวี 0.4-0.9x) ในขณะที่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอลอาจเน้นการสร้าง ecosystem บน digital wallet หรือการนำการให้บริการในระบบราชการมาอยู่บน App เดียวกัน เช่นการจ่ายค่าปรับ ค่าธรรมเนียม หรือจ่ายภาษีเป็นต้น

นโยบายด้านเศรษฐกิจการเกษตรควรเป็นไปในทิศทางใด โดย รศ.ดร.อิสริยา บุญญะศิริ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

จากการที่รัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจการเกษตรไว้ที่สำคัญ ได้แก่ 

(1) การพักชำระหนี้ กำหนดให้เกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการต้องมีหนี้คงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 โดยรวมแล้วไม่เกิน 300000 บาท มีสถานะปกติ กำหนดให้มีการพัฒนาศักยภาพลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ แต่ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีประสิทธิผล ภาครัฐควรกำหนดมาตรการพักชำระหนี้รายย่อย ให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายครัวเรือน การส่งเสริมให้การอบรมเรื่องทักษะด้านการจัดการการเงินและการทำบัญชีครัวเรือนฟาร์มควบคู่ นอกจากนี้อาจมีการสร้างแรงจูงใจให้ผู้มีความสามารถในการชำระหนี้คืนเงินต้นในช่วงเวลาของการพักหนี้ นอกจากนี้ไม่ควรจำกัดเฉพาะในกลุ่มที่หนี้ไม่เกิน 300000 บาท และในการพัฒนาศักยภาพควรรวมทั้งศักยภาพในและนอกภาคการเกษตร เพื่อเป็นการฝึกทักษะอาชีพที่หลากหลาย

(2) นโยบายผลักดันส่งเสริมเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสร้าง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง โดยเน้นแนวทางในการปรับเปลี่ยนไปสู่การปลูกพืชที่มีมูลค่าเศรษฐกิจสูงขึ้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีประสิทธิผล ควรใช้ตลาดนำการผลิต และตลาดต้องสอดคล้องกับศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นเพื่อให้ผลผลิตมีปริมาณมากพอที่สามารถส่งให้กับตลาดได้ทันเวลา ดังนั้น ควรร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย  และหน่วยงานภาครัฐ อาศัยการวิจัยและพัฒนา และการบูรณาการความรู้ 

3. นโยบายในการส่งเสริมเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร” โดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกรเป็นเจ้าของเครื่องมือเครื่องจักรกลของตนเอง พร้อมเป็นผู้ให้บริการด้านธุรกิจเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อให้นโยบายดังกล่าวมีประสิทธิผล มีข้อควรพิจารณาที่สำคัญในเรื่องศักยภาพของเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร และการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของทีมให้บริการ 

4. ข้อเสนอแนะนโยบายเกษตรเพิ่มเติม ได้แก่ ไม่ควรดำเนินนโยบายแทรกแซงราคา/ควบคุมราคาปัจจัยการผลิต  การเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตร เพิ่มผลิตภาพการผลิต เพิ่มรายได้ และลดต้นทุนการผลิต โดยการเพิ่มการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาภาคเกษตร การเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร ารพัฒนาความรู้การจัดการฟาร์มที่ดีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับเกษตรกร การพัฒนาทักษะการจัดการ และการบริหารการเงินให้กับเกษตรกร การเพิ่มทางเลือกในการปลูกพืชอื่นและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคเกษตร การมีเครือข่ายชุมชนให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยี และนโยบายสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคบริการที่มีผลิตภาพการผลิตสูง

 

นโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อม รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา สำหรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมได้มีการแถลงถึงการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนประเทศร่วมกับทุกภาคส่วนไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 การบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ การบูรณาการองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช รวมถึงการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นวาระแห่งชาติโดยเฉพาะเรื่องฝุ่นควัน PM2.5 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี อย่างไรก็ตาม นโยบายที่ได้แถลงไว้ยังขาดรายละเอียดถึงแนวทางในการดำเนินนโยบายว่าจะมีแนวทางการดำเนินการเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรกับรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะมาตรการจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์ที่ควรนำมาใช้ให้มากขึ้นแทนการใช้มาตรการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบเพียงอย่างเดียว

 

ความเพียงพอและความต่อเนื่องของงบประมาณในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา โดยงบประมาณรายจ่ายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมของไทยคิดเป็น 0.32% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดในปี 2566 ซึ่งต่ำกว่าประเทศมาเลเซียประมาณ 2 เท่า และต่ำกว่าสหภาพยุโรปประมาณ 5 เท่ารวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา 

 

ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมบรรลุเป้าหมายที่ได้แถลงไว้ รัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณรายจ่ายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมที่มีน้อยมากและผันผวนในแต่ละปี สำหรับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและฝุ่นควัน PM2.5 โดยเฉพาะในภาคเกษตร ภาครัฐควรเปลี่ยนรูปแบบการให้เงินช่วยเหลือจากการเยียวยาให้เปล่าแบบไม่มีเงื่อนไขไปสู่การช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขพร้อมความรู้และหลักประกันความเสียหายเพื่อจูงใจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยน เช่น การปรับใช้ในแนวทางเกษตรเท่าทันภูมิอากาศ โดยขอความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและเอกชนในพื้นที่พร้อมกับงบประมาณสนับสนุนที่เพียงพอ ควรส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกพืชหมุนเวียนและการทำเกษตรผสมผสาน ควรสนับสนุนให้มีการรวมแปลงและเศรษฐกิจแบ่งปันสำหรับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ ผ่านการส่งเสริมตลาดเช่าบริการเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ให้ทั่วถึงทุกพื้นที่และมีการแข่งขันที่เหมาะสม ควรส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนภาคสมัครใจเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้กับการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น

 

 

 

ข่าวโดย ผกามาศ ธนพัฒนพงศ์ / หัวหน้างานสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ / 2 ตุลาคม 2566


 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สังคม/เศรษฐกิจ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พาณิชย์ชวนเที่ยวตลาดต้องชมทั่วประเทศ ภายใต้ชื่องาน “ชวนตะลอนตลาดต้องชม ตะลุยความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่” โดยมี นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ และนายชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม ให้การต้อนรับพร้อมพาเที่ยว “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม” เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร หนึ่งในตลาดต้องชม จาก 121 แห่ง ทั่วประเทศ
24 ธ.ค. 2566