กรมศุลกากรจัดงานแถลงนโยบายในการขับเคลื่อนมาตรการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking)

   เมื่อ : 15 พ.ย. 2568

วันนี้ (วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568) เวลา 13.30 น. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการจัดงานแถลงนโยบายในการขับเคลื่อนมาตรการการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking) ของกรมศุลกากร ร่วมด้วยนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์  อธิบดีกรมศุลกากร ผู้บริหารกรมศุลกากร และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ณ สโมสรศุลกากร ชั้น 2 กรมศุลกากร

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้จะไม่ผ่อนปรนต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกรูปแบบ พร้อมดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสังคมและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ 


โดยมุ่งให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันสั้นตามนโยบายของรัฐบาล “Quick Big Win” และเชื่อมั่นว่าการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมไปถึงหน่วยงานต่างประเทศ จะสามารถทำให้ประเทศไทยปลอดจากภัยยาเสพติด และป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทยในเวทีโลก 

 

สำหรับกรมศุลกากร ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงการคลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของประเทศในการสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ได้แสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการร่วมแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกันและปราบปรามมิให้มีการใช้ช่องทางการค้าระหว่างประเทศ และป้องกันไม่ให้ประเทศไทย
เป็นฐานของอาชญากรในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดให้โทษ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า วันนี้กรมศุลกากรจัดงานแถลงนโยบาย ในการขับเคลื่อนมาตรการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking) เนื่องจากปัญหา
ยาเสพติดถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ความปลอดภัยของสังคม และความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลก

ด้วยสถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทยยังคงอยู่ในสถานะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมาพบว่ายังมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดในหลายช่องทาง อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทย เป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดเพื่อส่งต่อไปยังต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ กรมศุลกากจึงเร่งพัฒนาแนวทางการทำงานในทุกมิติ 


เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ผ่านการกำหนดมาตรการเชิงรุกในการปฏิบัติงานด้านป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ทั้งหมดนี้เป็นการน้อมรับและตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล “Quick Big Win” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรได้แบ่ง
การดำเนินงานออกเป็น 3 มิติ ได้แก่

มิติที่ 1 ความร่วมมือเชิงรุกกับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ปรับเปลี่ยนแนวทางการตรวจสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง 
จากการตรวจค้น ณ จุดผ่านแดนหรือจุดนำเข้าส่งออก เป็นการดำเนินการเชิงรุก โดยทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ
ในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงภาคธุรกิจขนส่ง และโลจิสติกส์  DHL FedEx UPS  ไปรษณีย์ไทย และบริษัท Freight Forwarder ต่าง ๆ โดยเข้าไปให้ข้อมูลความเสี่ยง เกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการในการกระทำความผิดด้านยาเสพติด รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน ทำให้กรมศุลกากรสามารถตรวจค้นและสกัดกั้นสินค้าต้องสงสัยได้ตั้งแต่ต้นทาง ก่อนเข้าสู่กระบวนการศุลกากร

 

มิติที่ 2 ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ สร้างพันธมิตรกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สำนักงานพิทักษ์เขตแดนแห่งออสเตรเลีย (Australia Border Force: ABF) กองกำลังป้องกันชายแดนแห่งสหราชอาณาจักร (UK Border Force: UKBF) สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ศุลกากรนิวซีแลนด์ เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา รวมถึง สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) และสำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (HSI) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและปฏิบัติการร่วมกัน หรือ Joint Operation เพื่อสกัดกั้นขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

 

มิติที่ 3 การสืบสวนขยายผลและการดำเนินคดี กรมศุลกากร จะไม่ยุติการดำเนินการเพียงแค่การยึดยาเสพติด ณ จุดผ่านแดนเท่านั้น แต่จะรวบรวมข้อมูลผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายใต้คณะทำงานสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ณ ท่าอากาศยานสากล (Airport Interdiction Task Force: AITF) และท่าเรือสากล (Seaport Interdiction Task Force: SITF)  ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย สำหรับสืบสวนและดำเนินคดี  เพื่อทำลายเครือข่ายอาชญากรรมยาเสพติดทั้งระบบ

 

จากมาตรการทั้ง 3 มิติที่ได้กล่าวมา กรมศุลกากรได้กำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ไว้เพื่อรองรับและขับเคลื่อนมาตรการในการป้องกัน ปราบปราม และสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ให้เห็นผลภายใน 4 เดือน เช่น

 

1. ปฏิบัติการความร่วมมือกับสำนักงานพิทักษ์เขตแดนแห่งออสเตรเลีย เพื่อป้องกันและปราบปรามด้านยาเสพติด ไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นฐานลักลอบยาเสพติดส่งไปออสเตรเลีย โดยเริ่มปฏิบัติการวันในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

2. ปฏิบัติการร่วมกับศุลกากรเกาหลีใต้ ในลักษณะเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2569

3. การขยายพื้นที่การใช้สุนัขดมกลิ่น (K-9) เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานหลัก เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง คลังสินค้าสุวรรณภูมิ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่และสุวรรณภูมิ รวมถึงคลังสินค้าของผู้ให้บริการขนส่งเอกชน
4. เปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายภาคใต้ (Narcotics and Contrabands Interdiction Unit) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ในต้นเดือนธันวาคม 2568 เพื่อสกัดการลักลอบขนยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายผ่านสนามบินรอง ด้วยระบบตรวจสอบผู้โดยสารที่ทันสมัย

 

อย่างไรก็ดี การปราบปรามยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย เป็นภารกิจที่กรมศุลกากรไม่อาจดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยลำพัง จำเป็นต้องอาศัย  การบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจการขนส่ง เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดและทำลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ การบูรณาการดังกล่าวช่วยให้การปราบปรามยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยกรมศุลกากรจะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อปกป้องประเทศจากภัยเหล่านี้
 

                                          ######