สผ. ร่วมกับ ไบโอเทค–สวทช. และคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรฯ จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น “ร่างระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม–ระบบนิเวศ” เครื่องมือใหม่เพื่อจัดการป่าไม้และพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน


(8 สิงหาคม 2568) ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ “ร่างระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ และร่างคู่มือการจัดทำระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ” ภายใต้โครงการพัฒนาระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (System of Environmental-Economic Accounting: SEEA) เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงประโยชน์ของระบบบัญชีดังกล่าว และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสมดุล โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน จากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เข้าร่วมในงาน
ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่สีเขียวซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการสนับสนุนอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในปัจจุบันทรัพยากรเหล่านี้กำลังเผชิญแรงกดดันจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และภาวะโลกร้อน จึงจำเป็นต้องพัฒนาฐานข้อมูลบูรณาการที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และกำหนดนโยบายบนหลักฐานเชิงประจักษ์
นายทรงวุฒิ ศรีสว่าง ผู้อำนวยการกองติดตามและประเมินผล สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า สผ. มีบทบาทในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเติบโตอย่างยั่งยืน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์ 20 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยช่วงที่ผ่านมา การพัฒนาประเทศได้ใช้ฐานทรัพยากรมากเกินศักยภาพของระบบนิเวศ ส่งผลให้ทรัพยากรเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ขณะที่การแก้ไขปัญหาของภาครัฐยังขาดเครื่องมือและข้อมูลที่ครบถ้วน การจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนการตัดสินใจที่มีข้อมูลเชิงบูรณาการและน่าเชื่อถือ โดยระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (SEEA) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์นี้
นายทรงวุฒิ กล่าวต่อว่า “SEEA เป็นมาตรฐานสากลในการเชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจกับต้นทุนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คล้ายระบบบัญชีประชาชาติ (SNA) แต่ครอบคลุมมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบจากกิจกรรมเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม หลายประเทศได้นำ SEEA มาใช้ประเมินและวางแผนอนุรักษ์ให้เหมาะสมกับศักยภาพของระบบนิเวศ ขณะที่ประเทศไทยเริ่มจัดทำบัญชีระบบนิเวศเพื่อประเมินศักยภาพและคุณค่าการบริการทางนิเวศ (Ecosystem Services) ในพื้นที่สำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการจัดการอย่างสมดุล ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2570”
ดร.ยุวนันท์ สันติทวีฤกษ์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า การดำเนินงานภายใต้โครงการนี้ ได้จัดทำบัญชี 4 เรื่อง ได้แก่ บัญชีพื้นที่ป่าไม้ บัญชีทรัพยากรไม้ บัญชีระบบนิเวศป่าไม้ (พื้นที่นำร่อง: อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่) และบัญชีระบบนิเวศพื้นที่สีเขียว (พื้นที่นำร่อง: คุ้งบางกะเจ้า) ซึ่งบัญชีเหล่านี้ช่วยติดตามและประเมินการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร ทั้งส่วนที่คงอยู่และส่วนที่ถูกใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลชี้ว่า แนวโน้มพื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงต่อเนื่อง แต่หากมีนโยบายสนับสนุนการปลูกและใช้ไม้เศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง เช่น สัก ยางพารา ยูคาลิปตัส จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้บรรลุเป้าหมาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ลดการนำเข้าไม้และเยื่อจากต่างประเทศ และสร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกว่า 450000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ ภายในงานสัมมนา ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม: จากข้อมูลสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” โดยผู้แทนจากกรมป่าไม้ มูลนิธิชัยพัฒนา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเน้นย้ำว่าปัจจัยความสำเร็จของ SEEA ประกอบด้วย 1) หน่วยงานเจ้าภาพหลักที่ชัดเจน 2) ฐานข้อมูลกลางที่มีคุณภาพ 3) ความร่วมมือจากรัฐ-เอกชน-วิชาการ-องค์กรระหว่างประเทศ และ 4) การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
“การสัมมนาครั้งนี้สะท้อนว่า การขับเคลื่อนเพื่อผลักดันให้ระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อมเป็นภารกิจและทุกภาคส่วนนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว” หัวหน้าโครงการฯ กล่าวปิดท้าย
#####
