เอ็นไอเอเผย “สเปซ-เอฟ” 5 ปีดึงการระดมทุนสู่ฟู้ดเทคกว่า 5 พันล้าน แจ้งเกิดสตาร์ตอัปกว่า 80 ราย พร้อมจับมือพันธมิตรเดินหน้าก้าวสู่ปี 6 ตอกย้ำไทยสู่ศูนย์กลางเทคฯ อาหารโลก

กรุงเทพฯ 5 สิงหาคม 2568 – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล และพันธมิตรองค์กรชั้นนำ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และเครือข่ายบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร เดินหน้าสานต่อพันธกิจบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารใน “SPACE-F ปี 6: โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตฟู้ดเทคสตาร์ทอัพระดับสากลแห่งแรกของประเทศไทย” พร้อมเปิดเวทีให้สตาร์ตอัปได้แสดงศักยภาพนำเสนอนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอาหารที่จะมาปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหารของโลกผ่านกิจกรรม SPACE-F Accelerator Demo Day ทั้งนี้ ได้เผยถึงความสำเร็จตลอด 5 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลลัพธ์ด้านการระดมทุนรวมกว่า 5000 ล้านบาท สนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 80 ราย จาก 18 ประเทศทั่วโลกให้สามารถขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 60000 ล้านบาท
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า NIA พร้อมสนับสนุนสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหารที่สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุน การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม พร้อมทั้งก้าวสู่ประเทศที่มีความสามารถในการผลิต พัฒนา และส่งออกอาหารระดับท็อปของโลกผ่านโครงการ “SPACE-F” ที่มุ่งเน้นบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับสากล โดยสนับสนุนฟู้ดเทคสตาร์ตอัปทั้งในและต่างประเทศให้สามารถพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดอย่างแท้จริง ผ่านการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญระดับสากล การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจกับบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและหน่วยงานพันธมิตร ตลอดจนการเชื่อมโยงสู่แหล่งเงินทุนทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั้งในและต่างประเทศ
“SPACE-F เป็นกลไกการพัฒนาและส่งเสริมฟู้ดเทคสตาร์ตอัปอย่างครบวงจร และช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศของไทยให้ก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอาหาร” ของภูมิภาค และสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดโลก ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดการระดมทุนรวมกว่า 5000 ล้านบาท และการสนับสนุนสตาร์ตอัปกว่า 80 ราย จาก 18 ประเทศทั่วโลกให้สามารถขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 60000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ “โครงการ SPACE-F ปีที่ 6” NIA ยังคงเดินหน้าผลักดันสตาร์ตอัปที่มีศักยภาพสูงสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต โดยมีสตาร์ตอัปทั้งไทยและต่างประเทศ ในด้านอาหารเพื่อสุขภาพ (health and wellness) ด้านโปรตีนทางเลือก (alternative proteins) ด้านกระบวนการผลิตอาหารอัจฉริยะ (smart manufacturing) ด้านบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต (packaging solution) ด้านส่วนผสมและอาหารใหม่ (novel food and ingredients) ด้านวัสดุชีวภาพและสารเคมี (biomaterial and chemical) ด้านเทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านอาหาร (restaurant tech) ด้านการตรวจสอบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (food safety and quality) และด้านการบริการอัจฉริยะด้านอาหาร (smart food services) เข้ารับการสนับสนุนด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จากมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด
จากเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด นอกจากนี้ โครงการ SPACE-F ยังเป็นโครงการที่สตาร์ตอัปจะมีกรรมสิทธิ์ในไอเดียและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตนเองอย่างสมบูรณ์”
ทั้งนี้ หนึ่งในไฮไลต์ของปีนี้คือการนำเสนอผลงานของ 9 สตาร์ตอัป จากโครงการเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Accelerator Program) เเละโครงการบ่มเพาะ (Incubator Program) บนเวที “SPACE-F Accelerator Demo Day” เพื่อโชว์ศักยภาพ วิสัยทัศน์ และนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดสู่ตลาดจริง พร้อมดึงดูดนักลงทุน และพันธมิตรจากทั่วโลก ร่วมเสริมแกร่งระบบนิเวศฟู้ดเทคสตาร์ตอัปของไทย ขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็น “ครัวของโลก” ด้วยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารในระดับสากล SPACE-F ปีที่ 6 จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการแสดงศักยภาพของสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ที่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารของไทยสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งกิจกรรม Accelerator Demo Day ปีนี้ จัดขึ้นภายในงานประชุมเทคโนโลยีระดับภูมิภาคที่รวบรวมผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเข้าร่วมงาน ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติม
คุณสิริจิตร์ จิระเรืองเกียรติ Senior Director – Group Innovation บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าโครงการ SPACE-F จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารให้มีความยั่งยืน ผ่านผลงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี ที่สามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับนวัตกรรมด้านอาหาร
รศ. ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ในฐานะ ‘Kitchen of the World’ มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้ประกอบการทางด้านฟู้ดเทคด้วยทรัพยากร เครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนคำแนะนำให้กับสตาร์ตอัป ทางมหาวิทยาลัยมหิดลและพันธมิตรมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมระบบนิเวศของนวัตกรรมอาหาร เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวเพิ่มเติมว่า เนสท์เล่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SPACE-F นับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเปิดมุมมองใหม่ในการได้สัมผัสวิธีการทำงานที่คล่องตัวและรวดเร็วของเหล่าสตาร์ตอัป เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในพลังของนวัตกรรม ที่มาควบคู่กับความยั่งยืน และการใช้ดิจิทัลเข้ามาช่วย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ SPACE-F ในการช่วยให้สตาร์ตอัปเติบโต เนสท์เล่รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าและความสำเร็จของพวกเขา และยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเส้นทางของพวกเขาต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีอาหาร จากสตาร์ตอัปทั้ง 9 ทีมในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 6 ได้แก่
1. Poseidona (สเปน): นำสาหร่ายเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมมาผลิตโปรตีนทางเลือก ช่วยลดการสูญเสียอาหารและปลดล็อกวัตถุดิบใหม่
2. Warich Food (ไทย): เพิ่มมูลค่าผลไม้สุกจัด ด้วยกระบวนการแปรรูปให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ ไม่เติมน้ำตาล
3. Alcheme Bio (สหรัฐอเมริกา): ออกแบบรสชาติและโภชนาการของโปรตีนทางเลือกให้คล้ายเนื้อสัตว์มากที่สุดโดยอาศัยกระบวนการทางเอนไซม์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างเหมาะสมด้วยปัญญาประดิษฐ์
4. TIGAMILK (ฮ่องกง): ผลิตนมจากถั่วเสือ (Tiger Nut) ที่มีไฟเบอร์สูงและไม่ก่อให้เกิดการแพ้นมวัว
5. Jupitair (โปแลนด์): พัฒนาเครื่องกำจัดจุลินทรีย์ในอาหารด้วยแสง UVA และวัสดุเซรามิก โดยไม่ใช้สารเคมี 6. Genbioma (สเปน): ผลิตโพรไบโอติกและสารเสริมธรรมชาติ ที่มีส่วนช่วยควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักผ่านการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
7. Neramit Foodtech (ไทย): คิดค้น “ข้าวไร้แป้ง” ที่ทำจากสาหร่ายและโปรตีนพืช เพื่อผู้บริโภคสาย Keto
8. Singular Intelligence (สหราชอาณาจักร): ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนการผลิตอาหาร และ
9. MadeSweetly (สหราชอาณาจักร): ผลิตโปรตีนให้ความหวานจากจุลินทรีย์ ด้วยกระบวนการหมักแม่นยำ หวานกว่าน้ำตาลแต่ไม่มีแคลอรี (Incubator Program) ได้ที่บูธ “SPACE-F โซน Earth Zone Hall 4 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันนี้ – 6 สิงหาคม 2568
######