การประชุมโต๊ะกลมของ RSPO เรียกร้องแนวทางใหม่ และกล้าเปลี่ยนแปลงเพื่อปฏิรูปน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน
ในการประชุม RT2024 ได้มีการจัดตั้งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่เพื่อจัดการปัญหาตัดไม้ทำลายป่า เพิ่มการมีส่วนร่วมของเกษตรกรรายย่อยด้วยโครงการสร้างการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate-smart programmes) และขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก RSPO ทั่วโลก
ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ Teoh Cheng Hai เลขาธิการคนแรกของ RSPO กล่าวถึงความสำเร็จของ RSPO ในการเป็นมาตรฐานชั้นนำระดับโลกสำหรับการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนในปัจจุบัน โดยเน้นความสำคัญของการจับมือเป็นพันธมิตรเชิงนวัตกรรมให้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ผลักดัน RSPO ให้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานชั้นนำระดับโลกที่สามารถขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติปี 2573
Joseph D’Cruz ซีอีโอของ RSPO ได้ย้ำในคำกล่าวเปิดงานว่า RSPO มีความพร้อมอย่างดีที่จะตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต โดยกล่าวว่า ”ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเรา RSPO พร้อมที่จะเผชิญกับอนาคต 20 ปีข้างหน้าด้วยมาตรฐานที่เสริมให้แข็งแกร่งขึ้น ระบบตรวจสอบที่พัฒนาดีขึ้น และสถาปัตยกรรมการรับรอง การค้า และการตรวจสอบย้อนกลับด้วยระบบดิจิทัลแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล” เขายังเสริมว่ามาตรฐานที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นั้นยังถูกเสริมความแข็งแกร่งในการผสานเข้ากับระบบการรับรอง ผ่านแพลตฟอร์มการรับรอง การค้า และการตรวจสอบย้อนกลับของ RSPO ที่ชื่อว่า ”prisma” ซึ่งย่อมาจาก Palm Resource Information and Sustainability Management (การจัดการข้อมูลทรัพยากรปาล์มและความยั่งยืน) ที่งาน RT2024 ตัวแทนที่เข้าร่วมได้รับชมการสาธิตการทำงานของแพลตฟอร์ม prisma ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อให้บริการข้อมูลดิจิทัลและการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนเพื่อให้สมาชิกเสริมประสิทธิภาพให้การประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบความรอบคอบ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เกิดขึ้นใหม่
ส่งเสริมการปกป้องพื้นที่ที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงเพื่อความยั่งยืนของน้ำมันปาล์ม
ในการประชุม RT2024 ครั้งนี้ RSPO และเครือข่ายการอนุรักษ์ที่มีมูลค่าสูง (High Conservation Value Network: HCVN) ได้ต่ออายุความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดและแนวทางใหม่ ๆ ในการปกป้องพื้นที่ที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูง (HCV) โดยสอดคล้องกับมาตรฐาน RSPO ที่ปรับปรุงใหม่ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อภารกิจร่วมกันในการปกป้องพื้นที่ป่าที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูง และพื้นที่กักเก็บคาร์บอนในปริมาณสูง (HCS) ในเขตพื้นที่น้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะช่วยเสริมสร้างการปกป้องระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และพื้นที่สำคัญต่อชุมชนชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น
”HCVN จะร่วมมือกับ RSPO อย่างต่อเนื่องเพื่อบูรณาการการปกป้องพื้นที่ที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงเข้ากับแนวทางการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนในพื้นที่เพาะปลูกน้ำมันปาล์ม โดยกำหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ด้วยการให้ความสำคัญกับคุณค่าการอนุรักษ์ให้เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการผลิตน้ำมันปาล์มยั่งยืน” Belinda Bowling ผู้อำนวยการทั่วโลกของเครือข่าย HCV กล่าว
ณ ปี 2566 การรับรองมาตรฐาน RSPO ได้ปกป้องพื้นที่ป่าที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงและกักเก็บคาร์บอนสูงมากกว่า 466600 เฮกตาร์ นับตั้งแต่ที่นำแนวทาง HCV มาใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2548 และแนวทาง HCS ในเดือนพฤศจิกายน 2561
โดยรวมแล้ว เมื่อพิจารณารวมถึงระบบนิเวศสำคัญอื่น ๆ การรับรองมาตรฐาน RSPO ได้ปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่ป่าและอื่น ๆ ที่มีคุณค่าประมาณ 646700 เฮกตาร์ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงพื้นที่พรุเขตร้อนและพื้นที่อนุรักษ์ริมน้ำ
การผสานการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในการรับรองเกษตรกรรายย่อยอิสระของ RSPO
การดำเนินการรับรองเกษตรกรรายย่อยของ RSPO เติบโตอย่างมากในทั่วโลก โดยในปี 2566 มีเกษตรกรรายย่อยอิสระกว่า 40000 รายที่ได้รับการรับรอง เพิ่มขึ้น 11268 รายจากปี 2565 และปัจจุบันได้ขยายการรับรองไปยังโคลอมเบีย เอกวาดอร์ และฮอนดูรัส
จากการตระหนักถึงบทบาทสำคัญของเกษตรกรรายย่อยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการผลิตน้ำมันปาล์ม RSPO จึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับบริษัท Global Green Chemicals Public Company Limited (GGC) และ GIZ หน่วยงานพัฒนาที่ยั่งยืนของเยอรมนี โดยจะบูรณาการการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศเข้าสู่การรับรอง RSPO ผ่านโครงการผลิตและจัดหาน้ำมันปาล์มยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SPOPP CLIMA) ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก GGC บริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ความร่วมมือดังกล่าวมุ่งเน้นส่งเสริมการทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ และรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับผลปาล์มสดเพื่อวัดการปล่อยก๊าซ และพัฒนากลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ของประเทศไทย
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ”GGC ได้ทำงานร่วมกับ GIZ และ RSPO เพื่อสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมันของเราในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป้าหมายของเราคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 20% ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 พร้อมกับส่งเสริมการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 การร่วมมือกันนี้จะไม่เพียงลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรกรรม แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยในตลาดโลก”
การเติบโตของการรับรอง RSPO ยังคงขับเคลื่อนการจัดหาและการบริโภคต่อเนื่อง
ณ ปี 2566 พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรองจาก RSPO มีพื้นที่ 5.2 ล้านเฮกตาร์ใน 23 ประเทศ ส่วนโรงงานระดับกลางน้ำและปลายน้ำที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานการรับรองห่วงโซ่อุปทาน (SCC) ของ RSPO มีจำนวน 6907 แห่งทั่วโลก
การจัดหาน้ำมันปาล์มที่ผ่านการรับรอง CSPO มาถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ 16.1 ล้านเมตริกตัน แสดงถึงการผลิตที่เติบโตขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง CSPO เพิ่มขึ้นเป็น 9.8 ล้านเมตริกตัน ที่แสดงถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หลังการผลิต (downstream usage) ที่เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา การเติบโตของการบริโภคได้รับการสนับสนุนจากกรอบความรับผิดชอบร่วมกัน (SR) ของ RSPO ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนสมาชิกด้านการรายงานการปฏิบัติตาม ตามที่กำหนดให้มีนโยบายและแผนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองในแต่ละปี โดยผู้แปรรูปและผู้ค้า ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และผู้ค้าปลีกมากกว่าครึ่งบรรลุเป้าหมายการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง CSPO ในปี 2566 และเพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยอิสระ สมาชิก RSPO ในกลุ่มปลายน้ำได้ซื้อเครดิต ISH จำนวน 261792 เครดิต มูลค่า 7.0 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 (เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1.53 ล้านเหรียญสหรัฐ) และมอบประโยชน์โดยตรงแก่กลุ่ม ISH ที่ได้รับการรับรอง 85 กลุ่ม
#####